หลายเรื่องเลยครับ...

การสนทนาใน 'Primera & Presea Club' เริ่มโดย silver dragon, 27 กุมภาพันธ์ 2009

< Previous Thread | Next Thread >
  1. silver dragon

    silver dragon New Member Member

    580
    2
    0
    การพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์

    ขั้นตอนที่ 1 - ใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับรถของคุณ
    ก่อนอื่น เราต้องหารถอีกคันเพื่อทำการนี้ แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่า จะมีใครที่ยอมให้เราพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ของเขาหรือไม่และจะมีสายพ่วงแบตเตอรี่ที่เหมาะสมด้วย ดังนั้นจึงจำเป็นที่ต้องมีสายพ่วงแบตเตอรี่ที่มีความยาวอย่างน้อย 10 ฟุต เตรียมพร้อมในรถคุณ เพื่อที่จะง่ายสำหรับพ่วงกับรถทุกประเภท
    ขั้นตอนที่ 2 - แน่ใจว่าแบตเตอรี่ของคุณ พ่วงสายได้
    หากแบตเตอรี่รถยนต์ของคุณได้รับความเสียหายก่อนที่จะทำการพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ ไม่ต้องเสียเวลาทำเลย มีหลายวิธีในการตรวจดูว่า เสียหรือไม่ ถ้าแบตเตอรี่ของคุณมีฝาอยู่ ให้ลองดูว่าน้ำกลั่นแข็งหรือไม่ หากแข็งก็ไม่ต้องดูอย่างอื่นแล้ว และคุณควรกระโดดถอยห่างไม่ต้องพ่วงแบตเตอรี่แล้ว และหากคุณพบรอยแตกที่แบตเตอรี่ เป็นเรื่องร้ายที่สุด และคุณก็ควรถอยห่างเช่นกัน
    ขั้นตอนที่ 3 - ขั้นตอนก่อนการพ่วงสายแบตเตอรี่
    หลังจากตรวจดูว่า เราจะทำการพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ได้หรือไม่ ต้องตรวจเช่นกันว่าแบตเตอรี่ของรถคันอื่นมีกระแสไฟตรงกับรถคุณหรือไม่ด้วย มันอาจจะตรงกันแต่ตรวจสอบก่อนดีกว่า และควรดับเครื่องรถทั้งสองคันก่อนการพ่วงสายแบตเตอรี่
    ขั้นตอน 4 - พ่วงสายแบตเตอรี่
    ที่แบตเตอรี่แต่ละตัว จะมีขั้วโลหะสองขั้ว อันหนึ่งเป็นขั้วบวก (+) และอีกอันเป็นขั้วลบ (-) หนีบสายพ่วงที่เป็นขั้วบวกที่รถทั้งสองคันให้ตรงกัน จากนั้นหนีบสายพ่วงขั้วลบเข้ากับรถที่มีแบตเตอรี่เต็ม ส่วนอีกด้านต่อกับตัวถังรถของคันที่แบตเตอรี่หมด อย่าให้สายขั้วลบไปแตะกับแบตเตอรีที่หมดหรือตำแหน่งอื่นๆที่อยู่ใกล้กับแบตเตอรี่
    ขั้นตอนที่ 5 - สตาร์ทเครื่องยนต์!
    ติดเครื่องรถคันที่มีแบตเตอรี่เต็มและทิ้งเอาไว้สักพัก หลังจากนั้นให้ลองสตาร์ทเครื่องรถอีกคัน ถ้าไม่ได้ ให้ทิ้งเอาไว้อีกสักพักแล้วลองใหม่
    ขั้นตอนที่ 6 - เดินทางสู่จุดหมาย!
    ถอดสายพ่วงออกจากรถที่มีแบตเตอรี่ก่อน แล้วจึงถอดจากคันที่มาขอพ่วง แล้วออกรถไปได้
     
    แก้ไขล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 กุมภาพันธ์ 2009
  2. silver dragon

    silver dragon New Member Member

    580
    2
    0
    การทำความสะอาดหม้อน้ำสนิม,ฝุ่นและสิ่งสกปรกไม่ได้มาจากเครื่องยนต์เท่านั้น แต่ยังมาจากระบบหล่อเย็นอีกด้วย และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เราต้องทำความสะอาดหม้อน้ำซึ่งเป็นอีกส่วนประกอบหนึ่งในการดูแลรักษารถยนต์ ระบบหล่อเย็นของรถทำหน้าที่ปกป้องเครื่องยนต์จากความร้อนที่เกิดจากเครื่องยนต์ เพื่อเครื่องยนต์จะทำงานได้ในอุณหภูมิที่เหมาะสม การดูแลให้ระบบหล่อเย็นไม่เป็นสนิมไม่มีฝุ่น ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้ดีที่สุด
    เราไม่จำเป็นต้องทำความสะอาดหม้อน้ำอยู่บ่อยๆ เหมือนกับการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง (ทุกๆ 2 ปีก็เพียงพอ) แต่มันก็ง่ายเช่นกัน
    สิ่งจำเป็น
     ตัวทำละลาย (1-2 แกลลอล หรือ 4-8 ลิตร) <LI< 4-8 หรือ แกลลอล (1-2>
     ที่รองหรือถังน้ำ
     สายยางพร้อมก๊อก
     ถุงมือ (ควรกันน้ำได้)
     แปรงไนล่อนที่มีขนนิ่ม
     น้ำสบู่
     แว่นตานิรภัย
     ภาชนะมิดชิดเพื่อทิ้งตัวทำละลาย (ตัวทำละลายมีพิษมากและควรทำลายอย่างถูกต้อง)
     ผ้าขี้ริ้ว
     คีมและไขควง (หากจำเป็น)
    ขั้นตอนที่ 1 - สิ่งแรกที่สำคัญ
    สิ่งสำคัญที่สุดลำดับแรก เครื่องยนต์ต้องเย็นก่อน หากเครื่องยนต์ร้อนนั่นหมายถึงการที่สารหล่อเย็นร้อนไปด้วย และเป็นไปได้ที่จะทำให้คุณได้รับอันตรายเมื่อเปิดฝาหม้อน้ำ และน้ำเย็นก็สามารถทำความเสียหายให้กับเครื่องยนต์ที่ร้อนด้วย
    ขั้นตอนที่ 2 - ทำความสะอาดหม้อน้ำ
    เปิดกระโปรงรถและติดตั้งขาตั้งให้แน่นเพื่อป้องกันการปิดทับลงมา แล้วใช้แปรงไนลอนจุ่มน้ำสบู่เพื่อขัดทำความสะอาดพวกแมลงหรือฝุ่นต่างๆ ที่ติดอยู่ที่หม้อน้ำ โดยต้องเช็ดไปในทางที่ไม่สวนกับการหมุนของใบพัดเพราะใบพัดโค้งงอได้ง่าย และอาจเสียรูปทรง เมื่อใบพัดสะอาดให้ใช้สายยางฉีดน้ำทำความสะอาดอีกครั้งหนึ่ง
    แม้ว่าคุณจะล้างหม้อน้ำทุกๆ 2 ปี แต่เราแนะนำให้มีการเปลี่ยนถ่ายน้ำยาหม้อน้ำ ทุกๆ 20,000 กม. สำหรับน้ำยาหม้อน้ำชนิดเข้มข้นที่ต้องผสมน้ำก่อนใช้ ทั้งนี้ควรอ้างอิงคู่มือการใช้ของรถแต่ละรุ่นเป็นหลัก
    ขั้นตอนที่ 3 - การทิ้งสารหล่อเย็นที่ใช้แล้วด้วยวิธีที่เหมาะสม
    การทิ้งสารหล่อเย็นที่ใช้แล้วด้วยวิธีที่เหมาะสมนั้น สำคัญมาก เพราะสารหล่อเย็นมีพิษสูงแต่ด้วยกลิ่นหวานๆ ล่อใจเด็กๆ และแมลงมาก เราจึงไม่ควรทิ้งสารหล่อเย็นเอาไว้ หรือเทลงบนดิน ควรแน่ใจว่าภาชนะที่นำมารองจะไม่เอาไปใช้ในงานครัวอีก ควรเลือกใช้ภาชนะที่ใช้แล้วทิ้งจะดีกว่า และควรจะมีขนาดเล็กพอดีที่จะใส่ใต้ท้องรถได้พอดี
    เมื่อหาที่รองที่เหมาะสมได้แล้ว เลื่อนมันเข้าไปใต้ท้องรถและจัดให้อยู่ตรงกับวาล์วของท่อทิ้ง
    ขั้นตอนที่ 4 - ตรวจสอบฝาหม้อน้ำ
    ฝาหม้อน้ำถูกปิดด้วยแรงดันเพื่อเก็บสารหล่อเย็นเอาไว้เพื่อรักษาเครื่องยนต์ให้เย็น แรงดันของสารหล่อเย็นแตกต่างกันไปตามแต่ชนิดของเครื่องยนต์ และบนฝาจะระบุแรงดันเอาไว้
    ฝาหม้อน้ำจะประกอบด้วยสปริงและยาง ความแข็งของสปริงและยางจะเป็นตัวบอกได้ว่าหม้อน้ำมีแรงดันมากน้อยเพียงใด และสามารถทนแรงดันได้เท่าไร ถ้าสามารถกดสปริงได้ง่าย ก็ถึงเวลาที่ควรจะต้องเปลี่ยนฝาใหม่แล้ว สัญญาณอีกอย่างที่จะบอกได้ว่าเราควรเปลี่ยนได้ คือ มีสนิมมากหรือการเสื่อมสภาพของยางโดยทั่วไปควรเปลี่ยนทุก 2 ปี หรือจำง่ายๆ ว่า เราล้างหม้อน้ำเมื่อไร ก็เปลี่ยนฝาใหม่ไปพร้อมกันเลย และอย่าลืมว่าฝาหม้อน้ำต่างกัน และก็ทนแรงดันต่างกันด้วย
    ขั้นตอนที่ 5 - การตรวจดูท่อของหม้อน้ำ
    ขั้นต่อไปคือ การตรวจดูท่อของหม้อน้ำ ซึ่งจะมีอยู่ 2 สาย สายแรกอยู่ด้านบนของหม้อน้ำซึ่งเป็นสายที่นำเอาสารหล่อเย็นที่ร้อนออกจากเครื่องยนต์ อีกสายอยู่ด้านล่างซึ่งจะเป็นสายที่นำเอาสารหล่อเย็นเข้าไปหล่อเย็นเครื่องยนต์ ก่อนการเปลี่ยนสารหล่อเย็นควรตรวจสอบสภาพของสายทั้ง 2เส้น และก้านยึดก่อนว่ายังอยู่ในสภาพดีแข็งแรงไม่เป็นสนิม ถ้าชำรุดหรือมีปัญหาที่สายใดสายหนึ่ง ควรเปลี่ยนพร้อมกันทั้งคู่ ควรเลือกสายที่มีลักษณะอ่อนนุ่มมีความคงตัวสูง แล้วจึงค่อยทำความสะอาดหม้อน้ำ
    ขั้นตอนที่ 6 - ถ่ายน้ำยาหม้อน้ำที่ใช้แล้ว
    วาล์วทิ้งของเสียของหม้อน้ำควรจะมีที่จับ เพื่อจะได้ง่ายต่อการเปิด ให้ขันสกรูออก (อย่าลืมว่าใส่ถุงมือด้วย เพราะสารหล่อเย็นนั้นมีพิษ) และปล่อยให้สารหล่อเย็นไหลออกมาลงภาชนะที่เรารองไว้ด้านล่างของรถตามขั้นตอนที่ 4 เมื่อไหลออกหมดแล้วให้ปิดวาล์วนั้น และใช้กรวยเติมสารหล่อเย็นที่ใช้แล้วเก็บในภาชนะที่ปิดมิดชิด แล้วรองถาดกลับเข้าไปที่เดิม
    ขั้นตอนที่ 7 - ทำความสะอาดหม้อน้ำ
    ตอนนี้เราพร้อมที่จะล้างหม้อน้ำแล้ว ใช้สายยางเติมน้ำลงในหม้อน้ำจนกระทั่งเต็ม แล้วจึงเปิดวาล์วออกเพื่อให้น้ำไหลลงไปให้หมดเพื่อล้างหม้อน้ำ ทำซ้ำจนกระทั่งน้ำที่ไหลออกมาใส แล้วนำน้ำล้างเก็บในภาชนะที่ปิดมิดชิด ปิดวาล์วให้เรียบร้อย
    ขั้นตอนที่ 8 - เติมน้ำยาหม้อน้ำ
    สารหล่อเย็นที่ดีควรมาจากการผสมสารหล่อเย็นเข้มข้นกับน้ำในอัตราส่วนที่เท่ากัน ควรใช้น้ำกลั่นในการผสม เนื่องจากสะอาดและป้องกันการเกิดตะกรัน ควรผสมในภาชนะอื่นให้เสร็จเรียบร้อยก่อนแล้วจึงนำมาเติมในหม้อน้ำ โดยทั่วไปหม้อน้ำจะมีความจุประมาณ 2 แกลลอน
    ขั้นตอน 9 - ไล่ฟองอากาศในระบบ
    ท้ายสุด เราต้องปล่อยฟองอากาศที่อาจมีในระบบหล่อเย็น โดยติดเครื่องยนต์ในขณะที่ปิดฝาหม้อน้ำด้วย (เพื่อป้องกันการเกิดแรงดัน) โดยปล่อยให้เครื่องทำงานประมาณ 15 นาที แล้วเปิดฮีทเตอร์ให้ร้อน การกระทำนี้จะช่วยในการหมุนเวียนของสารหล่อเย็นและเป็นการไล่อากาศที่มีอยู่ในระบบ ทำให้มีพื้นที่ในการเติมสารหล่อเย็นได้อีกนิดหน่อย แล้วจึงเติมสารหล่อเย็นลงไป ระวังฟองอากาศที่จะถูกแทนที่โดยสารหล่อเย็นกระเด็น เพราะมันค่อนข้างร้อน
    จากนั้นปิดฝาและเช็ดของเหลวส่วนเกินออกให้สะอาด
    ขั้นตอนที่ 10 - ทำความสะอาดและตรวจสอบความเรียบร้อย
    ตรวจสอบความเรียบร้อยของฝาปิดต่างๆ, ผ้าที่เช็ด, สายท่อเก่า และภาชนะที่ต้องทำลาย
    มันสำคัญมากที่จะทิ้งสารหล่อเย็นอย่างเหมาะสมเช่นเดียวกับน้ำมันเครื่องที่ใช้แล้ว อย่าลืมว่าสารหล่อเย็นมีกลิ่นที่เด็กๆ ชอบดังนั้นอย่าปล่อยทิ้งเอาไว้ นำเอาไปทิ้งที่รับขยะรีไซเคิลที่อยู่ใกล้บ้าน อย่าทิ้งเอาไว้ ดูคำแนะนำเกี่ยวกับการทำลายวัตถุอันตรายที่ส่วนของน้ำมันเครื่อง


     
    แก้ไขล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 กุมภาพันธ์ 2009
  3. silver dragon

    silver dragon New Member Member

    580
    2
    0
    การดูแลสีรถยนต์
    การแวกซ์รถเป็นการปกป้องพื้นผิวรถจากมลภาวะต่างๆ เราไม่จำเป็นต้องแว๊กซ์รถทุกครั้งที่เราล้างรถ เพียงปีละ 2 ครั้งก็เพียงพอ ถ้ารถเริ่มดูหมองๆ หรือน้ำไม่สามารถไหลลงที่ผิวรถเป็นหยดๆ เป็นสัญญาณว่า เราควรแวกซ์ได้แล้ว
    การแวกซ์ต้องทำหลังจากการล้างรถ การแวกซ์บนพื้นผิวที่สกปรกจะขูดขีดสีรถได้ ดังนั้นล้างรถให้สะอาดและปล่อยให้แห้งสนิท ก่อนลงมือทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
    สิ่งที่จำเป็น
     ผ้าขนหนูสะอาด
     น้ำสะอาด
     แวกซ์
     น้ำยาขัดเงา
    ขั้นตอนที่ 1 - ขัดเงา
    ขัดเงาก่อนที่จะเริ่มลงมือ เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งสกปรกจะหลุดออกไปหมด ถ้ารถคุณเป็นรุ่นปี 80 หรือหลังจากนั้น เราแนะนำให้คุณใช้สินค้าที่เป็นแบบใสมากกว่า
    โดยทั่วไป ควรจะล้างรถและปล่อยให้แห้งในที่ร่ม ไม่ให้โดนแสงแดดโดยตรง เพราะความร้อนจะทำให้แวกซ์ยาก หลังจากที่เราลงน้ำยาขัดเงาแล้วเริ่มขัดเงาจากด้านบนลงล่าง (หลังคา, กระโปรงหน้า-หลัง, ด้านขวาและด้านซ้าย) น้ำมันขัดเงาอาจมีที่ขัดให้มาด้วย แต่ถ้าไม่มีใช้ผ้าขนหนูธรรมดาก็ได้ โดยให้ขัดเบาๆ และเป็นวงๆ
    เมื่อเสร็จแล้ว ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีให้แห้ง แล้วใช้ผ้าสะอาดอีกผืนขัดออก
    ขั้นตอนที่ 2 - ลงแวกซ์
    หลังจากที่เราลงและขัดน้ำยาขัดเงาออกแล้ว ถึงเวลาที่เราจะลงแวกซ์ ใส่แวกซ์ลงผ้าสะอาดอีกผืน โดยขัดแบบเดิม เบาๆและเป็นวงๆ รอประมาณ 10 นาที จะสังเกตเห็นว่าสีของแวกซ์จะเริ่มเปลี่ยน ให้ใช้ผ้าเช็ดออกเบาๆ
    ขั้นตอน 3 - ขัดสี
    หลังจากนั้น ใช้ผ้าสะอาดอีกผืนออกแรงขัดให้สีรถที่เคลือบแวกซ์ใหม่ส่องประกายมากขึ้น

     
    แก้ไขล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 กุมภาพันธ์ 2009
  4. pOR...

    pOR... New Member Member

    836
    2
    0
    ขอบคุณมากเลยครับ ความรู้ล้วนๆๆ :D:D:D
     
  5. mommamz

    mommamz New Member Member

    964
    4
    0
    ความรู้มาอีกแล้ว
     
  6. jeff03

    jeff03 New Member Member

    610
    1
    0
    เนื้อๆเลย ... ขอบคุณครับ :thumbs_up:
     
  7. เสก R10

    เสก R10 New Member Member

    807
    8
    0
    เยี่ยมครับพี่
     
< Previous Thread | Next Thread >

แบ่งปันหน้านี้